ปฎิทิน
June 2024
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
      
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
      
สถิติ
เปิดเมื่อ16/08/2012
อัพเดท14/12/2014
ผู้เข้าชม333764
แสดงหน้า386684
บทความ
สถิติคำทำนายหวยเลขเด็ด เว็บท่องเที่ยว
บทความทั่วไป
เลขท้ายบัตรประชาชนบอกนิสัยได้
บันทึกช่วยจำของ“เหลียงจี้จาง” เขียนให้ลูก
หายใจด้วยพลังชี่กง pranayama
พระปิยมหาราชของปวงชนชาวไทย
เรื่องเสียวสยองเฮี้ยนสุดสุด.ผีศาลายาใน ม.มหิดล
หลวงพ่อเงิน เทพเจ้าแห่งอำเภอโพทะเล เพชรน้ำเอกของจังหวัดพิจิตร
Radio Online
TV ONLINE
coffee&me
ที่ตั้ง ทำเล ร้านกาแฟ
‘ร้านกาแฟ’ เปิดอย่างไร? ถึง MIX and Match ธุรกิจในฝันที่ไม่มีวันตาย
เคล็ดลับเด็ดสร้างโชคลาภ
มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง สอนวิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี
"คนรวย" มี 40 อย่างที่เหมือนกัน
แกว่งแขนลดโรคได้
บูชาพระสีวลีเถระ
กฎเด็ด " 30 วิธีเอาชนะโชคชะตา "
การที่จะทำให้ตนเองมีโชคลาภ
ค้นหาจุดโชคลาภในบ้าน
โชคดี มีคนสอนลุง ในเรื่องเด็ดของไอที
วิธีบันทึกรูปภาพแอพภาพการ์ตูนสุดฮิต 魔漫相机 (mo-man-xiang-ji) และวิธีแชร์ไปยัง Facebook สำหรับ Android
10 อันดับแอพพลิเคชั่นเด็ดแต่งรูปสุดฮิตจาปกจีน
Gifboom Applicationบูม…สมชื่อ
AR เทคโนโลยี..มันคืออะไรกันฟ่ะ
“ช่วงเวลาทอง” ของการโพสต์ข้อความของธุรกิจแต่ละประเภท
รหัสโค้ด-ชื่อเข้าดูรูปส่วนตัวดาราดังใน instagram
ท็อปแบรนด์ผู้เชี่ยวชาญด้านโซเชี่ยลมีเดียแห่งอาเซียน
ขนาดภาพที่จะสวยเหมาะ ใน Facebook Timeline, Twitter,
รักแท้แพ้รักเป็น
10 จุดเด็ดสาว กระชับพื้นที่เสียว
"นวดกะปู๋" สวรรค์ต้องห้าม!
เซ็กส์...ผู้ชายแค่รักสนุก แต่ทำไมผู้หญิงถึงรู้สึกผูกพัน
จันดารา ปฐมบท จัดให้เต็ม
3 ท่าลีลาเลิฟสุดโปรดของผู้หญิง 3 สไตล์
คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN
เคล็ดลับดูไฝบนกายสาว
8 วิธีชะลอการหลั่ง
8 วิธีชะลอการหลั่ง
ตามข่าวนายกยิ่งลักษณ์.หาหวยเลขเด็ด
ภาพสุดงามพิธีอภิเษกสมรสพระราชธิดา สุลต่าน บรูไนฯ นายกเข้าร่วม
หวยไทยไม่มีวันตาย
ดร.สังศิตชี้ปราบหวยได้ใน48ชั่วโมงแต่ใครจะยอมทำ
จวกสื่อชี้ช่องมอมเมาหวย ให้เลขโจ๋งครึ่ม
รัฐยันหวยไม่ผิดกฎหมาย ไฟเขียว'ล็อกเล่ย์'เตรียมขายหวยออนไลน์
4 ปัจจัยเสริม ทำให้คนชอบเล่นหวย
วิจัยหวย 23ล้านคน-เงิน5.4แสนล้าน หวังรวยลัด
เรื่องดีๆมีทุกวัน
ขอทาน ถามพระพุทธองค์ ว่าเหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้
มีเรื่องดีๆมาฝากเพื่อน
"ตำโขยง"ส้มตำการรันตีโดยแชมป์รางวัลพระราชทาน
คลิกดูปุ๊ป.สุขทันที
ทฤษฎีสัมพันธภาพ
จดหมายข่าว
คำค้น


คาถาบูชา ท้าวเวสสุวรรณ

อ่าน 9782 | ตอบ 3

คาถาบูชา ท้าวเวสสุวรรณ



ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนาให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวรหรือพระไพศรพณ์
 
    อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด
          จุดธูป 9 ดอก 
          ตั้งนะโม 3 จบ

          พุทธังอาราธนานัง  ธัมมังอาราธนานัง  สังฆังอาราธนานัง
          คุณบิดามารดาอาราธนานัง  คุณครูบาอาจารย์อาราธนานัง

คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร
อิติปิโสภะคะวา  ยมมะราชาโน  ท้าวเวสสุวรรณโณ
มรณังสุขัง  อะหังสุคะโต  นะโมพุทธายะ
ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชิกา  ยักขะพันตา ภัทภูริโต
เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ  นะโมพุทธายะ

หรืออีกบท

คาถาบูชา ท้าวเวสสุวรรณ
เวสสะ พุ กะ (หัวใจท้าวเวสสุวรรณ)
โอม นะโม มหาเวสสุวัณโณ มหาไตรโลโก
ทิพจักขุง มหาไตรโลกานัง มหาภูเตร
สะวะกัง ทิพพะมันตัง อะระหังพุทโธ
นะโมพุทธายะ เวส สะ พุ กะ
นะมะ อะระหัง อะสังวิสุโลปุสะพุพะ
มะอะอุ อิสวาสุ สุสวาอิ อิติ อิติ
มหาเทวัง มหายักขัง ปัตตโลกัง
มหาอิทธิฤทธิ อิทธิฤทธัง อะระหัง ปะสิทธิเม ฯ
 
  c  
     




ตำนานท้าวเวสสุวรรณ

ท้าวเวสสุวัณ หรือ ท้าวกุเวร นั้น ศาสนาพราหมณ์ถือว่าเป็นเทพองค์เดียวกัน โดยที่ศาสนาพราหมณ์นั้นได้กล่าวถึงเทพผู้พิทักษ์รักษาโลกมนุษย์ หรือ ท้าวโลกบาลประจำทิศต่าง ๆ ด้วยกัน ๘ ทิศ คือพระอินทร์ ประจำทิศบูรพา (ตะวันออก) พระเพลิง ประจำทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) พระยม ประจำทิศทักษิณ (ใต้)พระอาทิตย์ประจำทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) พระพิรุณ ประจำทิศประจิม (ตะวันตก) พระพาย ประจำทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงใต้) พระจันทร์ ประจำทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) และ ท้าวกุเวร ประจำทิศอุดร (ทิศเหนือ) ก่อนจะว่ากันต่อไปถึงประวัติความเป็นมาของท่านท้าวกุเวร ต้องมาตกลงทำความเข้าใจกันก่อนในเรื่องของลัทธิความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ และ ศาสนาพุทธ อย่างกรณีของเรื่องท้าวโลกบาลนั้น จะเห็นว่า พุทธศาสนาของเรานั้น กล่าวถึงท้าวโลกบาลเพียง ๔ ทิศ ที่เรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ อันได้แก่ ทนท้าวกุเวร เป็นโลกบาลประจำทิศอุดร (ทิศเหนือ) ดุจเดียวกับพราหมณ์ ท่านท้าวธตรฐ เป็นโลกบาลประจำทิศบูรพา (ตะวันออก) ต่างจากพราหมณ์ ที่ให้พระอินทร์ อยู่ในทิศนี้ ท่านท้าววิรุฬหก ประจำทิศทักษิณ (ใต้) ต่างจากพราหมณ์ ที่ให้พระยม ประจำทิศนี้ และท่านท้าววิรูปักษ์ ประจำทิศประจิม (ตะวันตก) ต่างจากพราหมณ์ที่ให้พระพิรุณ ประจำทิศนี้ ถ้าเราไม่แยกแยะในเรื่องของ ลัทธิความเชื่อของพราหมณ์กับพุทธออกจากกัน โดยเฉพาะในเรื่องของภพภูมิต่าง ๆ สวรรค์ ชั้นต่าง ๆ เราก็อาจจะสับสนปนเปกันวุ่นไปหมด อย่างพราหมณ์ที่เขาจัดให้พระอินทร์ เป็นท้าวจตุโลกบาลนั้น ด้วยเหตุที่พราหมณ์นั้น ไม่ได้มีการแบ่งแยกสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ออกจากกันแม้กระทั่งจัดให้พระยม เทพเจ้าแห่งขุมนรก เป็นท้าวจตุโลกบาล ประจำทิศใต้

ก็ดุจเดียวกัน พราหมณ์นั้นไม่ได้แยกภพภูมิ เป็นไตรภูมิอย่างพุทธศาสนา ดังนั้น สวรรค์ของพราหมณ์ ก็คือ เทพเทวดาต่าง ๆ โดยทั่วไป แม้แต่พระพรหม ก็อยู่บนสวรรค์ โดยถือเป็นเทวดาที่มีศักดิ์สูงเป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งปวงเท่านั้น อย่างพระยมนั้น ท่านก็ให้เป็นเทวดา แต่ไปปกครองนรก หรือ ดินแดนที่มีแต่ความเสื่อมโทรม ทารุณโหดร้าย หรือ พระพิรุณ เทพเจ้าแห่งมหาสมุทร และสายฝน ก็ให้ไปปกครองเมืองบาดาล ถือเป็นเทพองค์หนึ่งที่ไม่ได้อยู่บนสรวงสวรรค์ แต่ในทางพุทธศาสนานั้น แยกภพภูมิออกจากกันอย่างชัดเจน พระอินทร์ นั้น เป็นเทวราช หรือ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นที่สอง หรือ ดาวดึงส์ ย่อมอยู่เหนือกว่า หรือสูงศักดิ์กว่า ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ที่จัดให้เป็นใหญ่ในทิศต่าง ๆ ทั้งสี่ทิศ อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ที่เรียกว่า สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา

โดยที่สวรรค์ชั้นนี้ นอกจากมีเทวดาชั้นต่ำ เช่น พระภูมิ เจ้าที่ รุกขเทวดา อากาศเทวดา ฯลฯ แล้ว ยังมีอมนุษย์ต่าง ๆ อยู่ในภพภูมินี้อีกหลายประเภท เช่น ยักษ์ ถือเป็นเทวดาพวกหนึ่ง ที่มีรูปร่างหน้าตาน่ากลัว ตาพองโต จมูกบาน มีเขี้ยวโง้ง ร่างกายใหญ่โต มีกระบอง เป็นอาวุธ บรรดายักษ์เหล่านี้ อยู่ในความดูแล หรือ ภายใต้การปกครองของท่านท้าวกุเวร หรือ ท่านท้าวเวสสุวัณ ซึ่งถือกำเนิดเป็นยักษ์เช่นกัน นอกจากยักษ์แล้วยังมีพวก คนธรรพ์ ที่หลายท่านเข้าใจว่า เป็นพวกกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดา มีหน้าที่ขับร้องฟ้อนรำ หรือมีความสามารถในด้านดนตรี แท้ที่จริงแล้ว ท่านไม่ได้เป็นกึ่งมนุษย์กึ่งเทวดาอย่างที่เข้าใจกัน เหมือนพวกกินนร (กึ่งนกกึ่งคน คือ ตัวเป็นคน มีท่อนล่างเป็นนก มีปีกแบบนก) หรือ พวกครุฑ (ที่เป็นพวกกึ่งนก กึ่งเทวดา) หรือ อมนุษย์อื่น ๆ แต่ท่านเป็นเทวดาชั้นต่ำ มีกายทิพย์ อิ่มทิพย์ เสวยสมบัติทิพย์ ดุจปวงเทพเทวดาทั่วไป มีความสามารถในด้านการขับร้อง ฟ้อนรำ เพียงแต่ไม่มีวิมานเป็นที่อยู่ของตนเอง จะอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ในขอบเขตของสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง

ทางด้านทิศตะวันออก ที่อยู่ในความปกครองดูแลของท่านท้าวธตรฐ ที่กำเนิดของท่านเป็นคนธรรพ์เช่นกัน ไม่ได้เป็นยักษ์อย่างที่บางตำราบอกเอาไว้ อมนุษย์ในชั้นนี้ นอกจากยักษ์ คนธรรพ์แล้ว ยังมีพวก นาค ซึ่งถือว่าเป็นเทวดาเช่นกัน เพียงแต่เป็นเทวดาชั้นต่ำ ที่มีรูปร่างปกติเป็นงูที่มีหงอน หรือ งูใหญ่ เป็นเจ้าแห่งงู หรือ พญางู แต่เวลาที่อยู่ในเมืองของตนแล้ว จะจำแลงกายดุจเหมือนคนทั่วไป มีกายทิพย์ อิ่มทิพย์ ดุจเดียวกับเทวดา แต่ไม่มีวิมานอยู่ อยู่ในเมืองด้านทิศตะวันตก ในความปกครองดูแลของท่านท้าววิรูปักษ์ ที่ถือกำเนิดเป็นนาคเช่นกัน บ้างก็ว่า นาคนั้นมีฤทธิ์เดชมาก เพราะเพียงแค่พิษของนาคถูกต้องบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็สามารถตัดเอาผิวหนังของบุคคลนั้นและทำให้ถึงแก่ความตายได้ในพริบตา พวกนาครู้จักเนรมิตตนเป็น มนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นเทวดา เพื่อท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ตามอัธยาศัยอย่างสุขสำราญ หากบุคคลใดได้ยินได้ฟังมาว่าพวกนาคมีอายุยืน มีวรรณะงาม มีความสุขมาก ทำให้ชอบใจ แล้วทำคุณงามความดีด้วยกาย วาจา ใจ พร้อมทั้งปรารถนาไปเกิดเป็นนาค บุคคลนั้นเมื่อละโลกนี้ไปแล้วย่อมได้ไปเกิดเป็นนาคในชาติต่อไปสมความปรารถนา

อีกพวกหนึ่งที่สำคัญในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งก็คือพวก กุมภัณฑ์ ซึ่งหลายคนเอาไปปะปนกับพวกยักษ์ให้วุ่นไปหมด แท้ที่จริงแล้ว พวกกุมภัณฑ์นี้ เป็นเทวดาชั้นต่ำ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตนก็คือ มีลูกอัณฑะที่ใหญ่เท่าหม้อ นี่เขาแปลตามรากศัพท์นะครับ แท้ที่จริงแล้ว เทวดาจำพวกนี้ ไม่ได้มีลูกอัณฑ์ใหญ่เท่าหม้ออย่างที่เข้าใจกัน แต่มีรูปร่างอ้วนเตี้ย พุงป่อง เหมือนหม้อต่างหาก เทวดาพวกนี้จะอยู่ในเมืองดุจเดียวกับเทวดาอื่น ๆ ในชั้นเดียวกัน แต่อยู่ทางด้านทิศตะวันออก

มีท่านท้าววิรุฬหก ซึ่งถือกำเนิดเป็นกุมภัณฑ์เช่นกัน เป็นผู้ปกครองอันเทวดาทั้งสี่จำพวก คือ ยักษ์ คนธรรพ์ นาค กุมภัณฑ์ นั้น ปกติร่างกายของท่าน ก็จะเป็นรูปลักษณ์แยกออกไปตามลักษณะของชาติกำเนิด แต่แท้ที่จริงแล้ว เวลาอยู่ในเมืองสวรรค์ ที่เป็นทิพย์ ท่านก็อาจจะเนรมิตกายให้สวยสดงดงามดุจเดียวกันก็ได้ คงไม่มีเทวดาตนใดที่อยากมีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวหรอกครับ ไม่งั้น บรรดานางฟ้า นางสวรรค์ คงไม่ชายหางตาแลแน่นอน ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนี้ นอกจากเทวดาทั้งสี่จำพวก ที่อยู่ในความปกครองดูแลของท่านท้าวมหาราชทั้งสี่แล้ว ยังมีอมนุษย์ที่ไม่ใช่เทวดา แต่เป็นกึ่งเทวดา อยู่โดยรอบของสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง หรือ อยู่ปลายแดนสวรรค์ก็ได้ ถิ่นที่อยู่ของพวกนี้มักจะอยู่ในเขตที่เรียกว่า ป่าหิมพานต์ หรือ มหานทีสีทันดร ที่กว้างใหญ่ไพศาล ก่อนที่จะถึงเมืองสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนั่นเอง อันได้แก่ พวกกินนร,ครุฑ,รากษส ฯลฯ เป็นพวกที่กึ่งคนกึ่งนก (กินนร), กึ่งเทวดากึ่งนก (ครุฑ),กึ่งยักษ์กึ่งสัตว์ (รากษส พวกนี้กินสัตว์ และมนุษย์เป็นอาหาร เหมือน ผีเสื้อสมุทร) และบรรดาภูติผีปีศาจร้าย ที่มีฤทธิ์อำนาจ เป็นพวกกึ่งเปรตกึ่งเทวดา หรือ ก็เป็นเปรตจำพวกมหิทธิกาเปรต หรือ เวมาณิกเปรต พวกนี้กลางวันเป็นเทวดามีวิมานอยู่ กลางคืนต้องรับกรรม กลายร่างเป็นเปรต ได้รับทุกข์ทรมานจากความหิวโหย ฯลฯ


ส่วนพวกอสูรนั้น ไม่ได้อยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนะครับ แต่อยู่นอกเขตสวรรค์ชั้นที่สอง เพราะถูกขับออกมา ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว และมีศักดิ์สูงกว่าเทวดาในชั้นที่หนึ่งด้วยซ้ำไป อนึ่งท่านท้าวจตุโลกบาลนี้ บางตำรากล่าวไว้ว่า ท่านอยู่ภายใต้บังคับบัญชา หรือ ได้รับมอบหมายจาก “สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า” หรือ พระอินทร์ ให้เป็นผู้ปกปักคุ้มครองดูแลทุกข์สุขต่าง ๆ ของมวลมนุษย์ พิทักษ์รักษาโลกให้ปลอดภัย ไม่ให้มีสิ่งเลวร้ายใด ๆ มาทำลายความสงบสุขได้ นอกจากนั้น ยังได้มอบหมายให้เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่บัญชาคนทำบัญชี และจดบันทึกการทำบุญ การทำบาป ของคนในมนุษย์โลก โดยท้าวโลกบาลทั้งสี่ จะดูแลตามทิศของตน ๆ เช่น ท่านท้าวธตรฐ ก็จะสั่งให้เหล่าคนธรรพ์ ไปดำเนินการ, ท่านท้าววิรุฬหก ก็จะสั่งให้เหล่ากุมภัณฑ์ ไปดำเนินการ, ท่านท้าววิรูปักษ์ ก็จะสั่งให้เหล่าพญานาค ไปดำเนินการ,ท่านท้าวกุเวร ก็จะสั่งให้เหล่ายักษ์มาร ไปดำเนินการ หลังจากได้รับบัญชีบุญ –บาป แล้ว ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ก็จะนำขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวายให้แก่พระอินทร์ ด้วยตนเอง เพื่อพิจารณาอีกทีหนึ่ง


เทพประจำทั้งสี่ทิศ

ท้าวธตรัฎฐะ ท้าววิรุฬหกะ ท้าววิรูปักษ์ ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณ


ภาระหน้าที่ในการตรวจดูการทำบุญ ทำบาป ของสัตว์โลก แยกออกไปอีกตามวาระดังนี้คือ

วัน ๘ ค่ำ อำมาตย์ของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลก ,วัน ๑๕ ค่ำ บุตรทั้งหลายของท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลก, ส่วนในวัน ๑๕ ค่ำ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ จะเป็นผู้ตรวจดูโลกเองว่า พวกมนุษย์พากันบำรุงบิดามารดา และสมณพราหมณ์ เคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล รักษาอุโบสถศีลและทำบุญกุศลเป็นจำนวนมากหรือไม่ ครั้นตรวจดูแล้วก็จะไปบอกพวกเทพชั้น ดาวดึงส์ ซึ่งมาประชุมกันใน สุธรรมาเทวสภา ถ้าได้ฟังว่าพวกมนุษย์ทำดีกันน้อย พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ก็มีใจหดหู่ เพราะ ทิพยกายจะลดถอย อสุรกายจะเพิ่มพูน แต่ถ้าได้ฟังว่าพวกมนุษย์ทำดีกันมาก พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ก็มีใจชื่นบาน เพราะ ทิพยกายจะเพิ่มพูน อสุรกาย จะลดถอย มา

ถึงตรงนี้แล้ว จะได้ข้อคิดอะไรอย่างหนึ่งก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ ? ที่ท่านพญามัจจุราช หรือ เทพแห่งความตายนั้น คือ ท่านท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวัณ เพราะท่านเป็นเทพที่ปกครองพวกยักษ์มาร ภูติผีปีศาจร้ายทั้งหลาย วิญญาณทั้งหลายของคนตาย ที่ยังคงเร่ร่อนหาที่ไปเกิดยังภพภูมิใหม่ไม่ได้ ซึ่งเราเรียกว่า พวกสัมภเวสี ทีนี้ โดยปกติทั่วไป เมื่อคนใดตายแล้ว จิตวิญญาณก็จะเข้าสู่สภาแห่งความตาย เพื่อตัดสินชำระโทษ โดยมีท่านท้าวเวสสุวัณ เป็นประธาน โดยมีเทพทั้งสามท่านที่เหลือ คือ ท่านท้าวธตรฐ ท้าววรุฬหก ท้าววิรุฬปักษ์ เป็นผู้ร่วมพิจารณา โดยตัดสินพิจารณาจากบัญชีบุญ และ บัญชี บาป ที่บรรดาเหล่าบริวารของท่านเหล่านั้นนำมาเสนอ ถ้าทำดี ก็จะนำบัญชี และวิญญาณบุญนั้น ขึ้นทูลเกล้าถวายพระอินทร์ ในทุกวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ของทุกเดือน ที่มีการประชุมเทวสภาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่ออนุโมทนาและรับตัวเข้าสู่สรวงสวรรค์ แต่ถ้าทำชั่ว ก็จะนำบัญชี และวิญญาณบาปนั้น ส่งไปยังยมโลก ให้ท่านพญายม ทำหน้าที่ลงโทษ ตามที่ได้รับการพิพากษาโทษต่อไป ในบรรดาเทพที่ทำหน้าที่ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่

ในทางพุทธศาสนานั้น มีเพียงท่านเดียวเท่านั้น คือ ท่านท้าวกุเวร หรือ ท่านท้าวเวสสุวัณ ที่ทางศาสนาพราหมณ์ยอมรับอย่างตรงกันว่า เป็นโลกบาลประจำทิศอุดร และได้มีประวัติเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับพระองค์ท่านบันทึกเอาไว้มากมายหลายคัมภีร์ แต่เทพที่เป็นโลกบาลอีกสามทิศที่เหลือ พวกพราหมณ์เขาไม่ยอมรับ และไม่รู้จักด้วยซ้ำ ดังนั้น เรื่องราวประวัติต่าง ๆ จึงไม่ค่อยปรากฎ เห็นทีจะต้องนำเรื่องราว ประวัติและบทบาทของท่านมาเสนอซะที หลังจากอารัมภบทซะยืดยาว  


 


ท้าวกุเวร หรือ ท่านท้าวเวสสุวรรณ นั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือ คทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่า มหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ย อีกด้วย กล่าวกันว่า ผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือ มีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัย จากวิญญาณร้าย ที่จะเข้ามา เบียดเบียน ในภายหลัง ภาพลักษณ์ของท้าวกุเวร ที่ปรากฎในรูปของชายพุงพลุ้ย เป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่า เป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งมาในรูปของยักษ์ เป็นที่เคารพ นับถือว่า เป็นเครื่องราง ของขลัง ป้องกัน ภูติผีปีศาจ


“สารานุกรมไทย” ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439



กล่าวถึง ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์ มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่า ท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬ เรียก กุเวร ว่า กุเปรัน ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของ ทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบก ของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการ ผิวขาว มีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสสุวรรณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวร ชื่อ อลกาอยู่ บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่ง ของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า สวนไจตรต หรือ มนทร มีพวกกินนร และคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาล ประจำทิศเหนือ จีน เรียกว่า โต้เหวน หรือ โต้บุ๋น ญี่ปุ่น เรียก พสมอน ท้าวกุเวรนี้ สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณี กว้าง 50 โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑป ชื่อ ภคลวดี กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้ เป็นสโมสรสถาน ของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์ เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุต ประมาณ 200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้ว ประพาฬ หอกทอง


ลัทธิความเชื่อของพราหมณ์

กล่าวถึงประวัติของท้าวเวสสุวรรณไว้ว่า ทรง เป็นโอรสของ พระวิศรวิสุมนี กับ นางอิทาวิทา แต่ในมหาภารตะว่า เป็นโอรสของพระปุลัสต์ ซึ่งเป็นบิดาของ พระวิศรวัส กล่าวว่า ด้วยเหตุที่ท้าวกุเวร ใฝ่ใจกับท้าวมหาพรหม เป็นเหตุทำให้บิดาโกรธ จึงแบ่งภาคเป็น พระวิศวรัส หรือ มีนามหนึ่งว่า เปาลัสตยัม ซึ่งรามเกียรติ์ไทยเรียกว่า ลัสเตียน ท้าวลัสเตียน หรือ พระวิศวรัสซึ่งเป็นภาคหนึ่งของ พระวิศรวิสุมนี นั้น ได้นางนิกษา บุตรีท้าวสุมาลีรักษา เป็นชายา มีโอรสด้วยกันคือ ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ พิเภก และ นางสำมะนักขา ดังนั้น ท้าวกุเวร จึงเป็นพี่ชายต่างมารดา และร่วมบิดาเดียวกับทศกัณฐ์ เหตุที่ท้าวกุเวรผิดใจกับผู้เป็นพ่อ เพราะไปฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหม ซึ่งเป็นเทวดา ทำให้ผู้เป็นพ่อ คือ พระวิศรวิสุมนีโกรธ เพราะถือทิฐิว่า ตนเป็นยักษ์ ที่เป็นเทวดาต่ำศักดิ์กว่า ไม่ควรไปยุ่งกับเทวดา ที่บนสวรรค์ชั้นสูงกว่า เห็นคนอื่นดีกว่าพ่อของตน ก็เลยแบ่งภาคออกไปมีเมียใหม่ ลูกใหม่ ซะเลย ที่ท้าวกุเวร มีใจฝักใฝ่กับท่านท้าวมหาพรหมนั้น เป็นเพราะท้าวกุเวรนั้น ต้องการบำเพ็ญตบะบารมี หรือ สร้างสมความดี ด้วยการเข้าฌาน และบำเพ็ญทุกรกิริยา นานนับพันปี จนท่านท้าวมหาพรหมโปรดปราน ประทานบุษบกให้ อันบุษบกนี้ หากใครได้ขึ้นไปแล้ว สามารถล่องลอยไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ

เดิมทีนั้น ท้าวกุเวรครองกรุงลงกา ซึ่งมีพระวิศกรรม เป็นผู้สร้างให้ แต่นางนิกษา ได้ยุยงให้ทศกัณฐ์ ชิงกรุงลงกา มาจากท้าวกุเวร ทั้งยังชิงเอาบุษบกอันพระพรหมได้ประทานแก่ท้าวกุเวรมาด้วย ดังที่ได้บอกเอาไว้แล้วว่า บุษบกนี้ สามารถลอยไปไหนมาไหนได้ดังใจนึก แต่มีข้อห้ามมิให้หญิงที่ถูกสมพาส (แปลว่า การอยู่ร่วม การร่วมประเวณี) จากชาย 3 คน นั่ง ซึ่งต่อมานางมณโฑ ได้นั่งบุษบก จึงไม่สามารถ ที่จะลอยไปไหนมาไหน ได้อีกเลย สำหรับ นางมณโฑ ที่แต่เดิมเป็นนางฟ้า ที่พระอิศวรประทานให้กับทศกัณฐ์ ต้องกลายมาเป็นหญิงสามผัว ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อทศกัณฐ์ได้รับตัวนางมณโฑจากพระอิศวรมาแล้ว ก็อุ้มพานางเหาะกลับมายังกรุงลงกา ขณะที่เหาะข้าม มาระหว่างทาง ได้เหาะข้ามเมืองขีดขิน ซึ่งมี “พาลี” เป็นเจ้าเมือง พาลีโกรธ ที่ทศกัณฐ์บังอาจ อุ้มหญิงสาว เหาะข้ามหัว โดยไม่เกรงใจ จึงเหาะขึ้นไปรบกับทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์สู้ไม่ได้ เพราะพาลีได้รับพร จากพระอิศวรว่า หากรบด้วยผู้ใด ศัตรูผู้นั้นจะมีกำลังลดลงครึ่งหนึ่ง หรือมีความสามารถลดน้อยกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง เมื่อทศกัณฐ์ เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงถูกพาลีแย่งชิงเอานางมณโฑไปเป็นมเหสี ต่อมา เมื่อพาลีคืนนางมณโฑ ให้กับทศกัณฐ์แล้ว เมื่อตอนที่หุงน้ำทิพย์ “หนุมาน” ได้เข้าไปทำลายพิธี โดยปลอมตัวเป็นทศกัณฐ์ แล้วร่วมสังวาส กับนางมณโฑ นางมณโฑ จึงเป็นหญิงที่ผ่านการสมพาสชายมาถึง 3 คน คือ พาลี ทศกัณฐ์ และ หนุมาน เมื่อทศกัณฐ์ ให้นางมณโฑ ขึ้นนั่งบุษบกนี้ทีหลัง บุษบกก็เกิดการขัดข้องทางเทคนิค ไม่ลอยไปไหนมาไหน ตามต้องการ เหมือนเก่า
 



ห้องที่ ๑๖๖...พระรามออกเดินป่าครั้งที่ ๒ พระลักษณ์รบกับตรีปักกัน
ฆ่าตรีปักกันตาย ท้าวกุเวรนุราชผู้เป็นพ่อทราบข่าวยกออกมา
ถูกพระรามฆ่าตาย จนถึงพระรามถอนคำสาปของพระอิศวรให้กุมภัณฑ์นุราช
ห้องที่ ๑๖๖...พระรามออกเดินป่าครั้งที่ ๒ พระลักษณ์รบกับตรีปักกัน
ฆ่าตรีปักกันตาย ท้าวกุเวรนุราชผู้เป็นพ่อทราบข่าวยกออกมา
ถูกพระรามฆ่าตาย จนถึงพระรามถอนคำสาปของพระอิศวรให้กุมภัณฑ์นุราช




ในพระสูตรที่ชื่อว่า “อาฏานาฏิยะ” กล่าวว่า ท้าวกุเวร ตั้งเมืองอยู่ในอากาศ ข้างทิศที่อุตรกุรุทวีป (เหนือ) และ เขาพระสุเมรุ ยอดสุทัศน์ (ที่เป็นผาทอง) ตั้งอยู่ มีราชธานี 2 ชื่อ คือ อาลกมันทา และ วิสาณา มีนครอีก 8 นคร


ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ยังมีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น ธนบดี หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ ธเนศวร หมายถึง ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ อิจฉาวสุ หมายถึง มั่งมีได้ตามใจ ยักษ์ราชหมายถึง เจ้าแห่งยักษ์ มยุราช หมายถึง เป็นเจ้าแห่ง กินนร รากษเสนทร์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในพวกรากษส ส่วนในเรื่องรามเกียรติ์ เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ท้าวกุเรปัน ในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงอดีตชาติของท้าวกุเวร เอาไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม 3 ภาค 2 - หน้าที่ 151 ว่า

ในสมัยที่โลกยังว่าง จากพระพุทธศาสนา ไม่มี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัตินั้น มีพราหมณ์ ผู้หนึ่ง นามว่า กุเวร เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ประกอบสัมมาชีพ ด้วยการทำไร่อ้อย นำต้นอ้อย ตัดใส่ลงไปในหีบยนต์ แล้วบีบน้ำอ้อยขายเลี้ยงชีวิตตน และบุตรภรรยา ต่อมากิจการ เจริญขึ้น จนเป็นเจ้าของ หีบยนต์สำหรับบีบน้ำอ้อยถึง 7 เครื่อง จึงสร้างที่พักสำหรับ คนเดินทาง และบริจาคน้ำอ้อย จากหีบยนต์เครื่องหนึ่ง ซึ่งมีปริมาณน้ำอ้อยมากกว่าหีบยนต์เครื่องอื่น ๆ ให้เป็นทาน แก่คนเดินผ่านไปมา จนตลอดอายุขัย ด้วยอำนาจ แห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้น ทำให้กุเวรได้ไปอุบัติเป็นเทพบุตร บนสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา มีนามว่า'กุเวรเทพบุตร' ต่อมากุเวรเทพบุตร ได้เทวาภิเษกเป็นผู้ปกครองดูแล พระนครด้านทิศเหนือ จึงได้มีพระนามว่า 'ท้าวเวสสุวรรณ'

 



ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ยืนยันว่า 'ท้าวกุเวร' หรือ 'ท้าวเวสสุวรรณ' เทวราชพระองค์นี้ ได้สำเร็จเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้ง 'จุลสุภัททะ ปริพาชก' เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์สมเด็จ พระพุทธเจ้า ท่าน 'ท้าวเวสสุวรรณ' องค์นี้แหละ ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมาน ของพระอินทร์จนเกิดการ สั่นสะเทือนไป ทั้งดาวดึงส์ เทวโลก อันเป็นการเตือนสติสักกะเทวราชอีกด้วย และก็เชื่อกันตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้าที่ 435 ว่า 'คทาวุธ' ของ 'ท้าวเวสสุวรรณ' นั้น เป็นยอดศัสตราวุธ มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็น จุณวิจุณภายในพริบตา จะเห็นได้ว่า ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง ที่พิทักษ์รักษา พระพุทธศาสนา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ท่านท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์เลยทีเดียว ตามวัดวาอารามต่าง ๆ จะมีรูปปั้นยักษ์ 1 ตน บ้าง 2 ตนบ้าง ยืนถือกระบองค้ำพื้น ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยู่หน้า ประตูโบสถ์ หรือ วิหารที่เก็บของมีค่า มีพระพุทธรูป และโบราณสมบัติล้ำค่าของทางวัดบรรจุอยู่ ด้านละ 1 ตน หรือไม่ก็บริเวณลานวัด หรือที่ที่มีคนผ่านไปมาแล้วเห็นโดยง่าย บ้างก็สร้างเอาไว้ในวิหาร หรือ ศาลาโดยเฉพาะก็มี ซึ่งยักษ์เหล่านั้น ถ้าเป็น ตนเดียว ก็จะหมายถึง รูปเคารพของท้าวเวสสุวรรณ  แต่ถ้าเป็น 2 ตนก็จะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ คอยทำหน้าที่ ปกปักรักษา ดูแลบริเวณวัด

ความคิดเห็น :
1
อ้างอิง

Tipladda
 

เลขมงคล เด่นนำโชค

0 4 7

 
 


เลขมงคล เด่นรอง

06 58 62 87

 
 
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.facebook.com/tipladda.phoewisert
Tipladda [115.87.116.xxx] เมื่อ 27/09/2012 21:56
3
อ้างอิง

ไอ้พรเสื่อเผ่น
ดีมากๆครับอ่านแล้วสนุกบันเทิงใจ
 
ไอ้พรเสื่อเผ่น [183.88.43.xxx] เมื่อ 13/07/2015 20:24
ความคิดเห็นของผู้เข้าชม
ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
สถานะ : รหัสผ่าน :
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :
รหัสความปลอดภัย :